ศรีชัยวัชรปุระ มีศูนย์กลางทางอำนาจปกครองอยู่ที่เพชรบุรีในปัจจุถบัน โดยมีปราสาทศิลาแลง ตั้งอยู่ในเขตตำบลท่าราบ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี อยู่ห่างแม่น้ำเพชรบุรีมาทางตะวันออกประมาณ 1 กิโลเมตร การก่อสร้างตามแบบศาสนาพุทธ นิกายวัชรยาน แบบตันตระ ภายหลังได้ใช้เป็นศาสนสถานแล้วร้างไป จนกระทั่งสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้เป็นศาสนสถานอีกครั้ง ชื่อดั้งเดิมไม่มีผู้ใดทราบแน่ชัด สำหรับชื่อที่เรียกกันว่า “กำแพงแลง” นั้นคงเป็นชื่อที่ผู้คนในสมัยหลังเรียกกันตามลักษณะที่พบเห็น เนื่องจากปราสาทศิลาแลงก่อด้วยอารยธรรมแบบขอมและมีกำแพงศิลาแลงล้อมรอบ ชาวเพชรบุรีจึงเรียกวัดที่ตั้งที่นี้ว่า"วัดกำแพงแลง" ด้วย
โคปุระ หรือซุ้มประตูทางเข้าก่อด้วยศิลาแลง ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของปราสาทประธาน ลักษณะเป็นปราสาทเขมร ศิขระหรือส่วนยอดยังคงสภาพของแต่ละส่วนไว้อย่างสมบูรณ์ ตัวเรือนธาตุของปราสาทเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุม มีมุขยื่นออกมาจากเรือนธาตุทั้ง 4 ด้านเป็นจตุรมุขลดหลั่นกัน 2 ชั้น สันหลังคามุขประดับด้วยบราลี มุขแต่ละด้านมีหน้าต่างหลอกเป็นลูกกรงมะหวดที่ผนังด้านข้างด้านละ 1 แห่ง ประตูทางเข้ามีเพียงทางด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตกเท่านั้นที่สามารถเดินเข้าไปได้ ส่วนประตูทางด้านทิศเหนือและทิศใต้เป็นประตูหลอกปิดทึบ รอบโคปุระพบบัวเชิงผนัง ส่วนฐานโคปุระ มีผังเป็นรูปกากบาทตัดกัน เนื่องจากเป็นซุ้มประตูทางเข้าจึงทำเป็นฐานทรงเตี้ยสำหรับเดินเข้าได้อย่างสะดวก ปัจจุบันที่โคปุระไม่พบลวดลายปูนปั้นหลงเหลืออยู่แล้ว คงเหลือแต่ร่องรอยของปูนที่ฉาบอยู่ด้านนอกเท่านั้น

การกำหนดอายุเวลาของโบราณสถานวัดกำแพงแลง กำหนดอายุเวลาในการสร้างอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 ระหว่างปี พ.ศ. 1724-1773 ซึ่งเป็นปีที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ครองราชย์ เป็นศิลปะแบบบายน
พุทธยุทธศาสตร์ของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗
ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ (Coedes, 1963: 100) ให้ความเห็นว่า การประดิษฐานพระพุทธรูปซึ่งมีพระนามว่า “พระชัยพุทธมหานาถ” ๒๓ พระองค์ตามเมืองสำคัญต่างๆ ที่ปรากฏชื่อในจารึกปราสาทพระขรรค์ เช่น เมืองลโวทยปุระ (ลพบุรี) เมืองสุวรรณปุระ (สุพรรณบุรี) เมืองชัยราชปุระ (ราชบุรี) เมืองศรีวัชระปุระ (เพชรบุรี) เมืองศรีชัยสิงหปุระ (เมืองสิงห์ จังหวัดกาญจนบุรี), เมืองศัมพูกปัฏฏนะ (เมืองโกสินารายณ์ อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี) เป็นการประกาศทั้งอำนาจทางการเมืองและการศาสนาของพระองค์
หากเราพิจารณาดูตำแหน่งที่ตั้งของปราสาทศิลาแลงแบบมาตรฐานของอโรคยศาลาและการวางแผนผังเมืองในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ จะพบว่า วิหารพระไภษัชยคุรุ ซึ่งอาจมีกำเนิดเริ่มแรกตามพระราชประสงค์ของพระองค์ เพียงให้เป็นวิหารประจำอโรคยศาลา เพื่อการบำบัดทุกข์บำรุงแก่ประชาชน ต่อมาได้เป็นเครื่องสะท้อนถึงพระราชอำนาจของพระองค์ที่แผ่ขยายออกไปอย่างกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งกว่ากษัตริย์เขมรพระองค์ใด และสร้างความเป็นบึกแผ่นของราชอาณาจักรของพระองค์ โดยทรงใช้พุทธยุทธศาสตร์เข้าปกครองชุมชนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นชุมชนทวารวดีเดิม หรือชุมชนที่พระองค์สถาปนาขึ้นใหม่ ซึ่งมักอยู่ใกล้เคียงกับชุมชนทวารวดีในละแวกนั้น วิหารพระวัชรสัตว์ที่สร้างด้วยศิลาแลงจึงเป็นสัญลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมและพระราชอำนาจของพระองค์ด้วย
เอกสารอ้างอิง
ธาดา สุทธิธรรม. ๒๕๔๔. ผังเมืองในประเทศไทย: ผังชุมชนและการใช้ที่ดินสายอารยธรรมเขมรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. ขอนแก่น: พิมพ์พัฒนา.
ธาดา สุทธิธรรม, ๒๕๔๔. “เมืองเชิงจิตนิยม: เหตุกำหนดรูปแบบการวางแผนผังชุมชนและกรณีศึกษาในประเทศไทยและภาคอีสาน” บทความเสนอเนื่องในการประชุมทางวิชาการสาขาผังเมือง ณ โรงแรมเจริญธานีปริ๊นเซส ขอนแก่น ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔.
นิคม มูสิกะคามะ. ๒๕๓๖. ประวัติศาสตร์ โบราณคดี - กัมพูชา. กรุงเทพฯ: ประชาชน.
ผาสุข อินทราวุธ. พุทธศาสนาและประติมานวิทยา. เอกสารคำสอน ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
พิริยะ ไกรฤกษ์. ๒๕๔๒. “การปรับเปลี่ยนยุคสมัยของพุทธศิลป์ในประเทศไทย” เมืองโบราณ ปีที่ ๒๕ ฉบับที่ ๒ (เมษายน - มิถุนายน ๒๕๔๒) หน้า ๑๐ - ๔๓.
ยอร์ช เซเดส์. ๒๕๒๙. นครวัด. ปราณี วงศ์เทศ แปล. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
ศิลปากร, กรม. ๒๕๒๙. จารึกในประเทศไทย เล่ม ๓. กรุงเทพฯ: อมรินทร์ พรินติ้ง กรุ๊พ.
อมรา ศรีสุชาติ. ๒๕๔๒. “อาโรคยสาล (โรงพยาบาล): ปราสาทหิน” ใน สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคอีสาน. กรุงเทพฯ: ธนาคารไทยพาณิชย์.
Coedes, George. 1963. Angkor: An Introduction. Hongkong: Oxford University Press.
Jacques, Claude. 2003. “The Buddhist sect of Srighana in ancient Khmer land”. Paper presented in the International Conference on “Buddhist Legacies in Southeast Asia: Mentalities, Interpretations and Practices” . Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre, Bangkok. 18 - 20 December 2003.
Pottier, Christophe. 2003. "Yasovarman's asrama in Angkor". In The Buddhist Monastery: A cross-cultural survey. Pierre Pichard and Francois Lagirarde (eds.). Paris: E'cole Francaise d'Extreme-Orient.