วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ท่าอากาศยานหนองบ้วย (สนามบินหนองบ้วย)


ปลายปีพุทธศักราช   2484  กองทัพจักรวรรดิ์ญี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นบกในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และส่งหน่วยลาดตระเวนมาทางรถไฟ ลงที่สถานีรถไฟหนองจอก อำเภอหนองจอก(อำเภอชะอำ ในปัจจุบัน แต่ท้องที่นี้ได้อยู่ในความรับผิดชอบของอำเภอท่ายาง)  ทำการสำรวจพื้นที่โดยรอบเพื่อพิจารณาหาเส้นทางเคลื่อนกองทัพบุกเข้าไปประเทศ พม่าและอินเดีย แล้วเล็งเห็นว่าท่ายางเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ และเป็นปมคมนาคมไม่ว่าจะเป็นการเดินทางด้วยรถไฟ ทางแม่น้ำ(เพชรบุรี) และทางถนนเป็นอย่างดี อีกทั้งอยู่ไม่ไกลจากฝั่งทะเลมากนัก จึงได้ใช้พื้นที่บริเวณถนนสาย 19 หรือถนนเพชรเกษมปัจจุบันบริเวณปากทางเข้าหนองจอกสร้างค่ายพักและตำบลรวบรวม เชลยศึกซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวออสเตรเลียเพื่อนำแรงงานไปสร้างทางรถไฟสายมรณะ ที่กาญจนบุรี และได้เล็งเห็นว่าท่ายางควรมีการคมนาคมทางอากาศด้วย ทหารญี่ปุ่นจึงได้ก่อสร้างสนามบินบริเวณบ้านหนองบ้วย ซึ่งเดิมเป็นป่ารกทึบทางทิศใต้ของอำเภอท่ายาง และเมื่อญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงครามโลกแก่ฝ่ายสัมพันธมิตรเมื่อ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2488 สนามบินดังกล่าวได้ถูกโอนให้กองทัพอากาศรับผิดชอบ แต่มิได้มีการใช้งานหรือปรับปรุงเพิ่มเติม แต่กลับได้ย้ายภารกิจไปยังท่าอากาศยานหัวหินแทน สนามบินหนองบ้วยจึงกลายเป็นที่รกร้างว่างเปล่า ปัจจุบันพื้นที่สนามบินได้ถูกปรับเปลี่ยนเป็นตลาดกลางสหกรณ์การเกษตรและสนาม กีฬาของตำบลท่ายาง ในช่วงเวลาที่กองทัพญี่ปุ่นอยู่ท่ายาง ทหารญี่ปุ่นมักจะขับรถมาจอดบริเวณหน้าอำเภอแล้วลงมาจับจ่ายใช้สอยซื้อข้าว ของที่ตลาดท่ายางอยู่บ้าง

วันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ศรีชัยวัชรปุระ


ศรีชัยวัชรปุระ มีศูนย์กลางทางอำนาจปกครองอยู่ที่เพชรบุรีในปัจจุถบัน โดยมีปราสาทศิลาแลง ตั้งอยู่ในเขตตำบลท่าราบ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี อยู่ห่างแม่น้ำเพชรบุรีมาทางตะวันออกประมาณ 1 กิโลเมตร การก่อสร้างตามแบบศาสนาพุทธ นิกายวัชรยาน แบบตันตระ ภายหลังได้ใช้เป็นศาสนสถานแล้วร้างไป จนกระทั่งสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้เป็นศาสนสถานอีกครั้ง ชื่อดั้งเดิมไม่มีผู้ใดทราบแน่ชัด สำหรับชื่อที่เรียกกันว่า “กำแพงแลง” นั้นคงเป็นชื่อที่ผู้คนในสมัยหลังเรียกกันตามลักษณะที่พบเห็น เนื่องจากปราสาทศิลาแลงก่อด้วยอารยธรรมแบบขอมและมีกำแพงศิลาแลงล้อมรอบ  ชาวเพชรบุรีจึงเรียกวัดที่ตั้งที่นี้ว่า"วัดกำแพงแลง" ด้วย

โคปุระ หรือซุ้มประตูทางเข้าก่อด้วยศิลาแลง ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของปราสาทประธาน ลักษณะเป็นปราสาทเขมร ศิขระหรือส่วนยอดยังคงสภาพของแต่ละส่วนไว้อย่างสมบูรณ์ ตัวเรือนธาตุของปราสาทเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุม มีมุขยื่นออกมาจากเรือนธาตุทั้ง 4 ด้านเป็นจตุรมุขลดหลั่นกัน 2 ชั้น สันหลังคามุขประดับด้วยบราลี มุขแต่ละด้านมีหน้าต่างหลอกเป็นลูกกรงมะหวดที่ผนังด้านข้างด้านละ 1 แห่ง ประตูทางเข้ามีเพียงทางด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตกเท่านั้นที่สามารถเดินเข้าไปได้ ส่วนประตูทางด้านทิศเหนือและทิศใต้เป็นประตูหลอกปิดทึบ รอบโคปุระพบบัวเชิงผนัง ส่วนฐานโคปุระ มีผังเป็นรูปกากบาทตัดกัน เนื่องจากเป็นซุ้มประตูทางเข้าจึงทำเป็นฐานทรงเตี้ยสำหรับเดินเข้าได้อย่างสะดวก ปัจจุบันที่โคปุระไม่พบลวดลายปูนปั้นหลงเหลืออยู่แล้ว คงเหลือแต่ร่องรอยของปูนที่ฉาบอยู่ด้านนอกเท่านั้น

  • ปราสาทประธาน
  • ก่อด้วยศิลาแลงตั้งอยู่บนฐานที่ซ้อนกันอย่างน้อย 2 ชั้น ศิขระหรือส่วนยอดของปราสาทได้หักพังลงมาแล้ว แต่ยังคงเหลือชั้นรัดประคดและชั้นอัสดงอยู่ รวมทั้งมีนาคปักและกลีบขนุนตามอยู่ตามส่วนยอดอยู่บ้าง เรือนธาตุของปราสาทประธานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุม ตั้งบนฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุม มีประตูทางเข้าทั้ง 4 ทิศ ซุ้มหน้าบันเหนือประตูทางเข้าด้านทิศเหนือและทิศตะวันออกของปราสาทยังมีลวดลายปูนปั้นหลงเหลืออยู่เช่นเดียวกับบริเวณฐาน


  • ปราสาททิศเหนือ
  • ก่อด้วยศิลาแลง ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของปราสาทประธาน ปัจจุบันหักพังลงเหลือเพียงส่วนด้านทิศเหนือและทิศตะวันตกเท่านั้น ลักษณะคงเป็นเช่นเดียวกับปราสาทประธานแต่มีขนาดเล็กกว่า มีประตูทางเข้าทางด้านทิศตะวันออกและตะวันตก ส่วนด้านทิศเหนือและใต้เป็นประตูหลอกสลักปิดทึบไว้ 2 ชั้น


  • ปราสาททิศใต้
  • ก่อด้วยศิลาแลง อยู่ทางทิศใต้ของปราสาทประธาน มีลักษณะเช่นเดียวกับปราสาทองค์อื่นและคงมีขนาดสูงใหญ่เช่นเดียวกับปราสาททิศเหนือ โดยยังคงไว้ซึ่งองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมของส่วนยอดหรือศิขระ ได้ค่อนข้างสมบูรณ์ ส่วนเรือนธาตุและฐานบางส่วนได้รับการบูรณะซ่อมแซมขึ้นใหม่ในสมัยหลัง มีประตูเข้าทางด้านทิศตะวันออกและตะวันตก ด้านทิศเหนือและใต้เป็นประตูหลอกปิดทึบ ที่สันของประตูหลอกปั้นปูนเป็นพระพุทธรูปปางประทานอภัยทั้งสองด้าน ปัจจุบันชำรุดไปมากเหลือเพียงส่วนโกลนของศิลาแลง


  • ปราสาททิศตะวันตก
  • ตั้งอยู่ด้านหลังของปราสาทประธานทางด้านทิศตะวันตก ปัจจุบันอยู่ในสภาพพังทลายลงมาเกือบหมด เหลือเพียงผนังทางด้านทิศเหนือและส่วนฐานซึ่งมีความสูงกว่าปราสาททุกองค์เท่านั้น ลักษณะคล้ายกับปราสาททางด้านทิศเหนือและทิศใต้ มีประตูทางเข้าอยู่ทางด้านทิศตะวันออกและตะวันตก ส่วนด้านทิศเหนือและใต้เป็นประตูหลอก


  • กำแพงศิลาแลง
  • ก่อด้วยศิลาแลง ล้อมรอบกลุ่มปราสาทและสระน้ำไว้ภายใน ที่กึ่งกลางของกำแพงศิลาแลงทั้ง 4 ด้านมีประตูทางเข้าด้านละ 1 ประตู สันกำแพงประดับด้วยบราลีศิลาแลง


  • สระน้ำศักดิ์สิทธิ
  • ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของกลุ่มปราสาทภายในเขตของกำแพงแก้ว เป็นสระน้ำกรุด้วยศิลาแลง ปัจจุบันถูกถมไปแล้ว


    การกำหนดอายุเวลาของโบราณสถานวัดกำแพงแลง กำหนดอายุเวลาในการสร้างอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 ระหว่างปี พ.ศ. 1724-1773 ซึ่งเป็นปีที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ครองราชย์ เป็นศิลปะแบบบายน

    พุทธยุทธศาสตร์ของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗
    ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ (Coedes, 1963: 100) ให้ความเห็นว่า การประดิษฐานพระพุทธรูปซึ่งมีพระนามว่า “พระชัยพุทธมหานาถ” ๒๓ พระองค์ตามเมืองสำคัญต่างๆ ที่ปรากฏชื่อในจารึกปราสาทพระขรรค์ เช่น เมืองลโวทยปุระ (ลพบุรี) เมืองสุวรรณปุระ (สุพรรณบุรี) เมืองชัยราชปุระ (ราชบุรี) เมืองศรีวัชระปุระ (เพชรบุรี) เมืองศรีชัยสิงหปุระ (เมืองสิงห์ จังหวัดกาญจนบุรี), เมืองศัมพูกปัฏฏนะ (เมืองโกสินารายณ์ อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี) เป็นการประกาศทั้งอำนาจทางการเมืองและการศาสนาของพระองค์

    หากเราพิจารณาดูตำแหน่งที่ตั้งของปราสาทศิลาแลงแบบมาตรฐานของอโรคยศาลาและการวางแผนผังเมืองในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ จะพบว่า วิหารพระไภษัชยคุรุ ซึ่งอาจมีกำเนิดเริ่มแรกตามพระราชประสงค์ของพระองค์ เพียงให้เป็นวิหารประจำอโรคยศาลา เพื่อการบำบัดทุกข์บำรุงแก่ประชาชน ต่อมาได้เป็นเครื่องสะท้อนถึงพระราชอำนาจของพระองค์ที่แผ่ขยายออกไปอย่างกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งกว่ากษัตริย์เขมรพระองค์ใด และสร้างความเป็นบึกแผ่นของราชอาณาจักรของพระองค์ โดยทรงใช้พุทธยุทธศาสตร์เข้าปกครองชุมชนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นชุมชนทวารวดีเดิม หรือชุมชนที่พระองค์สถาปนาขึ้นใหม่ ซึ่งมักอยู่ใกล้เคียงกับชุมชนทวารวดีในละแวกนั้น วิหารพระวัชรสัตว์ที่สร้างด้วยศิลาแลงจึงเป็นสัญลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมและพระราชอำนาจของพระองค์ด้วย


    เอกสารอ้างอิง

    ธาดา สุทธิธรรม. ๒๕๔๔. ผังเมืองในประเทศไทย: ผังชุมชนและการใช้ที่ดินสายอารยธรรมเขมรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. ขอนแก่น: พิมพ์พัฒนา.

    ธาดา สุทธิธรรม, ๒๕๔๔. “เมืองเชิงจิตนิยม: เหตุกำหนดรูปแบบการวางแผนผังชุมชนและกรณีศึกษาในประเทศไทยและภาคอีสาน” บทความเสนอเนื่องในการประชุมทางวิชาการสาขาผังเมือง ณ โรงแรมเจริญธานีปริ๊นเซส ขอนแก่น ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔.

    นิคม มูสิกะคามะ. ๒๕๓๖. ประวัติศาสตร์ โบราณคดี - กัมพูชา. กรุงเทพฯ: ประชาชน.

    ผาสุข อินทราวุธ. พุทธศาสนาและประติมานวิทยา. เอกสารคำสอน ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร

    พิริยะ ไกรฤกษ์. ๒๕๔๒. “การปรับเปลี่ยนยุคสมัยของพุทธศิลป์ในประเทศไทย” เมืองโบราณ ปีที่ ๒๕ ฉบับที่ ๒ (เมษายน - มิถุนายน ๒๕๔๒) หน้า ๑๐ - ๔๓.

    ยอร์ช เซเดส์. ๒๕๒๙. นครวัด. ปราณี วงศ์เทศ แปล. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

    ศิลปากร, กรม. ๒๕๒๙. จารึกในประเทศไทย เล่ม ๓. กรุงเทพฯ: อมรินทร์ พรินติ้ง กรุ๊พ.

    อมรา ศรีสุชาติ. ๒๕๔๒. “อาโรคยสาล (โรงพยาบาล): ปราสาทหิน” ใน สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคอีสาน. กรุงเทพฯ: ธนาคารไทยพาณิชย์.

    Coedes, George. 1963. Angkor: An Introduction. Hongkong: Oxford University Press.

    Jacques, Claude. 2003. “The Buddhist sect of Srighana in ancient Khmer land”. Paper presented in the International Conference on “Buddhist Legacies in Southeast Asia: Mentalities, Interpretations and Practices” . Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre, Bangkok. 18 - 20 December 2003.

    Pottier, Christophe. 2003. "Yasovarman's asrama in Angkor". In The Buddhist Monastery: A cross-cultural survey. Pierre Pichard and Francois Lagirarde (eds.). Paris: E'cole Francaise d'Extreme-Orient.

    วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2556



    จังหวัดเพชรบุรี

    เพชรบุรี เป็นเมืองที่เคยรุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยโบราณและเป็นเมืองหน้าด่านที่สำคัญของไทยในกลุ่มหัวเมือง ฝ่ายตะวันตก มีชื่อเรียกปรากฏในหนังสือชาวต่างประเทศ เช่นชาววิลันดา เรียกว่า "พิพรีย์" ชาวฝรั่งเศสเรียกว่า "พิพพีล์" และ "ฟิฟรี" จึงสันนิษฐานกันว่าชื่อ "เมืองพริบพรี" คงเป็นชื่อเดิมของเมืองเพชรบุรี ชื่อ "เพชรบุรี" มีปรากฏเป็นหลักฐานมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ที่มาของชื่อมีที่มาได้ 2 ทาง ทางแรกเป็นการเรียกตามชื่อแม่น้ำเพชรบุรี ส่วนอีกทางหนึ่งเป็นการเรียกตามตำนานที่เล่าสืบกันมาว่าในสมัยโบราณเคยมีแสงระยิบระยับในเวลากลางคืนที่เขาแด่น ทำให้คนเข้าใจว่ามีเพชรพลอยบนเขานั้น
     
     
     
    สมัยหัวเลี้ยวประวัติศาสตร์ คือ ยุคสุวรรณภูมิซึ่งมีอาณาจักรฟูนาน เริ่มแต่พุทธศตวรรษที่ 6 - 12 นั้น หนังสือ “สมุดเพชรบุรี” กล่าวว่ามีความเชื่อตาม ดร.จัง บัวเซอร์ ลิเอร์ (Jean Boisselier)  ว่าอาณาจักรนี้มีอาณาเขตตั้งแต่แถบลุ่มน้ำเจ้าพระยาตลอดไปถึงลุ่มแม่น้ำโขงตอนกลางและเวียดนามใต้ทั้งนี้ เพราะได้ขุดพบโบราณวัตถุหลายอย่างแสดงว่าเป็นแหล่งและสมัยเดียวกัน และยังเชื่อว่าอาณาจักรนี้จะต้องคลุมถึงราชบุรี เพชรบุรี ตลอดไปจนถึงชุมพรโดยได้สันนิษฐานว่าเมื่อปี พ.ศ.2518 ชาวบ้านได้ขุดพบโบราณวัตถุต่าง ๆ เช่น ลูกปัด ศิวลึงค์ ฐานตั้งศิวลึงค์ ที่เขาสามแก้ว อำเภอเมืองชุมพร โดยเฉพาะลูกปัดเป็นชนิดเดียวกัน  นอกจากนี้ได้พบลูกปัดสมัยทวารวดีอีกเป็นจำนวนมาก จึงได้สันนิษฐานว่าเมืองเพชรบุรีคงอยู่ในอาณาจักร ดังกล่าว
              อาณาจักรทวารวดีอยู่ในสมัยพุทธศตวรรษที่ 11 - 16 อาณาจักรนี้มีกล่าวไว้ใน จดหมายเหตุจีนและจดหมายเหตุการเดินทางของหลวงจีน เรียกอาณาจักรนี้ว่า ตุยลอปาตี หรือ สุ้ยล้อปึ๊งตี๋ ซึ่งรวมเมืองราชบุรี เพชรบุรี คูบัว พงตึก นครปฐม กำแพงแสน ลพบุรี นครสวรรค์ ลำพูน ฯลฯ นักโบราณคดีเชื่อกันว่า ชนชาติที่อาศัยอยู่ในแถบนี้เป็นชนชาติมอญ ศิลปวัฒนธรรมที่ได้พบในภาคกลางโดยเฉพาะที่เพชรบุรี ราชบุรี นครปฐม ส่วนใหญ่เป็นศิลปะที่มีฝีมือดีกว่าแถบอื่น (ผู้เขียนเชื่อว่าอาณาจักรนี้เลยลงไปถึงเมืองปราณบุรี และชุมพรดังหลักฐานที่ได้กล่าวมาแล้ว) สำหรับเมืองหลวงของอาณาจักรนี้ บ้างก็ว่าเป็นนครปฐม บ้างก็ว่าเป็นเมืองอู่ทอง เพราะทั้งสองแห่งได้พบโบราณสถานขนาดใหญ่
            จากตำนานเมืองนครศรีธรรมราชกล่าวไว้ว่า พระพนมทะเลศรีมเหสวัสดิทราธิราชพระบวรเชษฐพระราชกุมาร อันเป็นพระราชนัดดา ได้ลาพระเจ้าปู่พระเจ้าย่ามาตั้งบ้านเมืองอยู่ ณ เพชรบุรี โดยได้นำคนมาสามหมื่นสามพันคน ช้างพังทลายห้าร้อยเชือก ม้าเจ็ดร้อยตัว สร้างพระราชวังและบ้านเรือนอยู่หน้าพระลาน ให้คนเหล่านั้นทำนาเกลือ ครองราชย์อยู่กรุงเพชรบุรีไม่นานนัก มีสำเภาจีนลำหนึ่งถูกพายุมาเกยฝั่ง ชาวเพชรบุรีได้นำขุนล่ามจีนเข้าเฝ้า ขุนล่ามได้ถวายเครื่องราชบรรณาการแก่กษัตริย์เมืองเพชรบุรี ขุนล่ามจีนได้ขอฝาง ทางเมืองเพชรบุรีได้มอบฝางให้จนเต็มเรือ เมื่อเรือกลับถึงเมืองจีน พระเจ้ากรุงจีนทรงทราบจึงโปรดพระราชทานบุตรีชื่อ พระนางจันทรเทวีศรีบาทราชบุตรีทองสมุทร ซึ่งประสูติแต่นางจันทรเมาลีศรีบาทนาถสุรวงศ์พระธิดาเจ้าเมืองจำปาได้ถวายแก่พระเจ้ากรุงจีน พระพนมทะเลศรีมเหสวัสดิทราธิราชทรงมี    พระราชบุตรหลายพระองค์ องค์หนึ่งพะนามว่าพระพนมวังมีมเหสีทรงพระนามว่าพระนางสะเดียงทอง  พระพนมทะเลโปรดให้ไปสร้างเมืองนครดอนพระ พร้อมด้วยพระเจ้าศรีราชา     พระราชทานคนเจ็ดร้อยคน แขกห้าร้อยคน ช้างสามร้อยเชือก ม้าสองร้อยตัว เมื่อไปถึงเมืองและสร้างพระธาตุ จากตำนานเรื่องนี้แสดงว่า เมืองเพชรบุรีได้เจริญรุ่งเรืองและเป็นเมืองหลวง เป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่ง พระโอรสของกษัตริย์เมืองนี้ได้ไปสร้างเมืองศิริธรรมนครหรือนครศรีธรรม- ราชและสร้างพระบรมธาตุเมืองนครด้วย
             จากคำให้การของชาวกรุงเก่าได้กล่าวถึงพระเจ้าอู่ทองสร้างเมืองเพชรบุรีไว้ว่า พระ-อินทราชาซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ของพระเจ้าชาติราชาได้ครองเมืองสิงห์บุรี พระอินทราชาไม่มีโอรส จึงทรงมอบราชสมบัติให้พระราชอนุชาครองราชสมบัติแทน พระนามว่าพระเจ้าอู่ทอง ส่วนพระองค์ได้เสด็จไปซ่อมแปลงเมืองเพชรบุรีเป็นเมืองหลวง บ้างก็กล่าวว่าพระองค์ถูกพระอนุชาและพระมเหสีคบคิดกันจะลอบปลงพระชนม์ พระองค์จึงหนีไปสร้างเมืองเพชรบุรี ต่อมาทรงได้พระราชโอรสองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระอู่ทอง ตามชื่อพระเจ้าอา พระโอรสองค์นี้ประสูติแต่พระมเหสีชื่อ มณีมาลา เมื่อพระอู่ทองมีพระชนม์ได้ 16 พรรษา พระอินทราชาสวรรคต พระองค์จึงได้ขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า พระเจ้าอู่ทอง มเหสีทรงพระนามว่า พระนางภูมมาวดีเทวี
          ในศักราช 1196 พระเจ้าอู่ทองได้ทรงแบ่งเขตแดนกับพระเจ้าศรีธรรมโศกราช  เจ้าเมืองศิริธรรมนคร โดยใช้แท่นหินเป็นเครื่องหมาย ทางเหนือเป็นของพระเจ้าอู่ทอง ทางใต้เป็นของพระเจ้าศรีธรรมโศกราช และทั้งสองประเทศจะเป็นไมตรีเสมอญาติกัน หากพระเจ้าศรี-ธรรมโศกราชสิ้นพระชนม์เมื่อใด ก็ขอฝากนางพญาศรีธรรมโศกราช พญาจันทรภานุและพญา-พงศ์สุราหะพระอนุชาด้วยทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนสินค้ากัน โดยทางฝ่ายเพชรบุรีส่งเกลือไปให้ ทางเมืองนครศรีธรรมราชส่งหวาย แซ่ม้าเชือก เป็นต้น มาให้พระเจ้าศรีธรรมโศกราชฯ ให้ซ่อมแปลงพระธาตุและส่งเครื่องราชบรรณาการและพระราชสาส์นมายังพระเจ้าอู่ทอง พระองค์โปรดฯ ให้นำเครื่องไทยทานไปยังเมืองนครศรีธรรมราช
          ต่อมาเมืองเพชรบุรีเกิดข้าวยากหมากแพง ราษฎรอดอยาก เกิดโรคภัยไข้เจ็บ พระเจ้าอู่ทองจึงทรงหาที่ตั้งเมืองใหม่ โดยทรงตกลงสร้างเมืองขึ้น ณ ตำบลหนองโสน ซึ่งตรงกับสมัยพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ทรงสร้างนครอินทปัตย์ เมื่อ พ.ศ.1111 เมื่อสร้างเมืองเสร็จแล้วทรง ตั้งชื่อว่ากรุงเทพมหานครบวรทวารวดีศรีอยุธยา มหาดิลกบวรรัตนราชธานีบุรีรมย์ และทรงสถาปนาพระองค์ใหม่ว่าพระเจ้ารามาธิบดีสุริยประทุมสุริยวงศ์
          จากบันทึกของลาลูแบร์ได้กล่าวถึงกษัตริย์เมืองเพชรบุรีไว้ว่า ปฐมกษัตริย์สยามทรงพระนามว่าพระปฐมสุริยเทพนรไทยสุวรรณบพิตร ครองนครไชยบุรี พ.ศ.1300 สืบราชสันติวงศ์มาสิบชั่วกษัตริย์ องค์สุดท้ายทรงพระนามว่าพญาสุนทรเทพมหาเทพราช โปรดฯ ให้ย้ายเมืองหลวงตั้งชื่อใหม่ว่าธาตุนครหลวง (Tasoo Nocorn Louang) ในปี พ.ศ.1731 กษัตริย์องค์ที่ 12 สืบต่อมาจากพญาสุนทรฯ ทรงพระนามว่าพระพนมไชยศิริ พระองค์โปรดฯ ให้ราษฎรไปอยู่ ณ เมืองนครไทยทางตอนเหนือของเมืองพิษณุโลก ส่วนพระองค์เองไปสร้างเมืองใหม่ชื่อพิบพลี (Pipeli) ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำสายหนึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา มีพระมหากษัตริย์สืบต่อมา 4 ชั่วกษัตริย์จนถึงองค์สุดท้ายทรงพระนามว่า รามาธิบดี ได้สร้างเมืองสยามขึ้นเมื่อ พ.ศ.1894 จากบันทึกนี้กับตำนานเมืองนครศรีธรรมราชมีส่วนคล้ายคลึงกันมาก เพียงแต่เพี้ยนนามเท่านั้น คือ พระพนมทะเลศรีมเหสวัสดิทราธิราชกับพระพนมไชยศิริ ส่วนองค์ที่สร้างกรุงศรี-อยุธยานั้นพระนามตรงกัน
          อย่างไรก็ตาม เรื่องพระพนมไชยศิรินี้ บางตำนานได้กล่าวไว้ว่า เป็นเจ้าเมืองเวียง-ไชยปราการได้หนีข้าศึกมาจากเมืองสุธรรมวดี (สะเทิม) เมื่อ พ.ศ.1547 ในตอนแรกจะอพยพครอบครัวไปทางทิศตะวันตกของแม่น้ำกก แต่ในขณะนั้นในแม่น้ำมีมาก จึงล่องใต้มายังตำบลหนึ่งแล้ว จึงสร้างเมืองขึ้นให้ชื่อว่า กำแพงเพชร และที่เมืองสุโขทัยยังมีเมืองๆ หนึ่งชื่อ เมืองเพชรบุรี อยู่ที่อำเภอคีรีมาศริมฝั่งคลองสาระบบ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าศึกษาอย่างยิ่ง
          เรื่องเมืองเพชรบุรี หรืออาณาจักรเพชรบุรี เคยมีกษัตริย์ปกครองนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงให้ข้อคิดเห็นว่า เดิมเมื่อประมาณพันปีเศษมาแล้ว เมืองเพชรบุรีมีกษัตริย์ปกครองเช่นเดียวกับเมืองนครศรีธรรมราช มาจนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นใหญ่ อำนาจของเมืองทั้งสองจึงตกแก่กรุงศรีอยุธยา อย่างไรก็ตาม ถ้าหากจะรวบรวมพระนามกษัตริย์อาณาจักรเพชรบุรีที่ปรากฏมี 6 พระนามคือ
    1. พระพนมทะเลศรีมเหนทราชาธิราช
    2. พระพนมไชยศิริ
    3. พระกฤติสาร
    4. พระอินทราชา
    5. พระเจ้าอู่ทอง
    6. เจ้าสาม



    สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงจัดการปกครองเมืองเพชรบุรีแบบใหม่ คือเมือง หรือจังหวัดในปัจจุบัน ประกอบด้วย 6 อำเภอ ซึ่งปรากฎใน ประกาศกระทรวงมหาดไทย ปรับปรุงการจัดตั้งแบ่งเขตแขวงเมืองเพ็ชร์บุรีเสียใหม่ โดยให้มี ๖ อำเภอ และการจัดกรมการอำเภอ (ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่๑๘ ตอนที่ ๕ ประกาศ ณ วันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๔๔ หน้าที่ ๕๙)  ประกอบด้วย

    1. อำเภอเมืองเพชรบุรี หรืออำเภอคลองกระแชง (ยุบอำเภอบ้านแหลมเข้ามารวม ส่วนอำเภอท่าชาง หรืออำเภอบ้านลาดยังมิได้จัดตั้ง)
    2. อำเภอตวันตก หรืออำเภอห้วยหลวง (อำเภอเขาย้อย)
    3. อำเภอนายาง (อำเภอชะอำ)
    4. อำเภอแม่กะจัน หรืออำเภอแม่ประจันต์ (อำเภอท่ายาง)
    5. อำเภอเมืองปราณบุรี (สมัยนั้นรวมอำเภอหัวหิน อำเภอสามร้อยยอด)
    6. อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ หรืออำเภอเกาะหลัก (สมัยนั้นยังรวมอำเภอกุยบุรี)